การศึกษาปฐมวัยสมัยก่อนมีระบบโรงเรียน
การศึกษาของไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงต้นรัชกาลที่ 5
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นับเป็น “การศึกษาก่อนมีระบบโรงเรียน คือ
ยังไม่มีระบบโรงเรียนสำหรับเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีการกำหนดเวลาเรียนและไม่มีการวัดผลการศึกษา”
การศึกษาปฐมวัยในสมัยก่อนมีระบบโรงเรียน
มีการจัดการศึกษาที่สามารถแบ่งออกได้ตามประเภทของเด็ก คือ
1.
การศึกษาปฐมวัยสำหรับเจ้านายเชื้อพระวงศ์
เด็กนักเรียนโรงเรียนราชกุมาร |
การจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเจ้านายเชื้อพระวงศ์
ส่วนใหญ่จะจัดการศึกษาในพระบรมมหาราชวัง
โดยจ้างอาลักษณ์มาสอนหนังสือแก่เจ้านายอายุประมาณ 3 ปีขึ้นไปจนถึง 7 ปี
การเรียนในระดับนี้ยังเรียนรวมกันทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย
ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนราชกุมารขึ้นในปี
พ.ศ. 2435 และโรงเรียนราชกุมารีในปี พ.ศ. 2436
สำหรับเป็นสถานศึกษาของสมเด็จลูกยาเอและพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังทรงพระเยาว์
2.
การศึกษาปฐมวัยสำหรับบุคคลที่มีฐานะดี
เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี
พ่อแม่จ้างคนมาสอนหนังสือแก่เด็กที่บ้าน ซึ่งได้แก่ สอนการอ่านเขียนภาไทย ภาษาบาลี
ความรู้เบื้องต้นอื่น
หรือพ่อแม่อาจจะสอนตามความสามารถของตนเองหรือสอนอาชีพของตนให้แก่เด็ก เช่น
หัตถศึกษา
เด็กหญิงที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะมีโอกาสที่จะได้เรียนและได้รับการอบรมเกี่ยวกับกิจการบ้านเรือน
งานฝีมือการประกอบอาหาร การทอผ้า หรือประกอบอาชีพของครอบครัว
3.
การศึกษาปฐมวัยสำหรับบุคคลธรรมดาที่พ่อแม่มีฐานะยากจน
พระสงฑ์สอนหนังสือลูกศิษย์ที่กุฏิ เมื่อสมัยที่ไม่มีโรงเรียน |
วัด เป็นสถานศึกษาของไทยในอดีต |
พ่อแม่ที่มีฐานะยากจนจะนำลูกชายฝากไว้ที่วัดให้เป็นลูกศิษย์วัดเพื่อเรียนหนังสือและศึกษาพระธรรมวินัย
ถ้าเป็นเด็กที่ยังเล็กมากพระสงฆ์ก็จะทำหน้าที่เลี้ยงดู ตลอดจนการอบรมสั่งสอนและการศึกษาด้วยตามลำดับ
การจัดการศึกษาในวัดจะมีพระสงฆ์เป็นผู้สอนและจัดให้เด็กเรียนตามกุฏิ วิหาร
หอสวดมนต์ หรือหอฉัน แล้วแต่ความสะดวกเหมาะสม โดยแบ่งนักเรียนเป็น 3 ประเภท คือ ประเภทแรกเป็นพระภิกษุ
ประเภทที่ 2 เป็นสามเณร
และประเภทที่ 3 เป็นศิษย์วัดที่เป็นนักเรียนชั้นมูลมีอายุตั้งแต่
7-8 ปี ขึ้นไป
ซึ่งมีทั้งที่พ่อแม่เอามาฝากให้เป็นศิษย์วัดเพื่อศึกษาเล่าเรียนและกินอยู่ประจำที่วัด
และอีกพวกหนึ่งไปเช้าเย็นกลับ
นอกจากวัดที่ทำหน้าที่ให้การศึกษาอบรมเด็กธรรมดาที่พ่อแม่ยากจนแล้ว
ในปี พ.ศ.2433
พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมณ์ กรมขุนสุทธาสินีนาฎ พระอัครชายาเธอ ในรัชกาลที่ 5
ได้ดำริแต่งตั้งโรงเลี้ยงเด็กขึ้นที่ตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง
โดยรับเลี้ยงเด็กชายหญิง ซึ่งภายในโรงเลี้ยงเด็กประกอบไปด้วย โรงเลี้ยงอาหาร
โรงครัว โรงพยาบาล มีบริเวณกว้างขวางร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ไม้ดอกและไม้ผล มีสนามหญ้าให้เด็กวิ่งเล่น
มีที่ให้เด็กทำสวนครัวและพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นสถานที่ฝึกเด็กเป็นอย่างดี
ดังนั้นจะเห็นว่า
การศึกษาปฐมวัยในสมัยนี้ยังไม่ได้รับความสำคัญ เป็นการศึกษาที่ไม่มีแบบแผน
ไม่มีดรงเรียนสำหรับเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีกำหนดเวลาเรียน
และไม่มีการวัดผลการศึกษา เพราะเด็กส่วนใหญ่ซึ่งเป็นลูกบุคคลธรรมดาที่ฐานะยากจน
เด็กชายจะมีโอกาสมากกว่าเด็กหญิงเพราะเด็กชายไปเรียนที่วัด
เด็กผู้หญิงผู้ปกครองไม่นิยมให้เรียนหนังสือและไม่มีสถานที่เรียน
ถึงแม้จะมีโรงเลี้ยงเด็กของพระอัครชายาเธอที่รับเด็กหญิงไปเลี้ยงดูให้การศึกษาแต่ก็คงรับเด็กได้ในจำนวนจำกัด
ดีค่ะ
ตอบลบขอบคุณคะ
ตอบลบ