การศึกษาปฐมวัยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในปี
พ.ศ. 2475
ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตย
โดยกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “คณะราษฎร์” นำมาสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาปฐมวัยหลายประการ ดังนี้
1.
นโยบายและแนวคิด
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 มีการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475
ซึ่งมีการกำหนดจัดชั้นเรียนใหม่โดยจัดชั้น ก ข ก กา หรือที่เรียกว่าชั้นประถม
เดิมปั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ส่วนประถมศึกษาปีที่ 1,2,3 เดิม
ให้เรียกเป็นประถมศึกษาปีที่ 2,3,4 ตามลำดับจนกระทั่งปี พ.ศ. 2479
ได้กล่าวถึงการศึกษาปฐมวัยในรูปของคำว่ามูลศึกษา ซึ่งได้กำหนด “มูลศึกษา” เป็นการศึกษาสำหรับเด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ
(อายุ 5-7 ปี) และการศึกษาเบื้องแรก มีลักษณะคล้ายคลึงกับแผนการศึกษาชาติฉบับต่อมา
คือแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 ในแผนการศึกษาฉบับนี้รวมแนวคิดเรื่องการศึกษาปฐมวัย
หรือที่เรียกว่ามูลศึกษา ซึ่งเดิมแบ่งเป็นโรงเรียนบุรบท โรงเรียน ก ข นโม
และกินเดอกาเตน เข้าไว้ด้วยกัน และเปลี่ยนคำว่า “มูลศึกษา”
เป็น “อนุบาล”โดยระบุว่า
“การศึกษาชั้นอนุบาล” ได้แก่การอบรมกุลบุตรกุลธิดาก่อนการศึกษาภาคบังคับมีหลักการให้อบรมนิสัย
และฝึกประสาทไว้ให้พร้อมที่จะรับการศึกษาชั้นประถมศึกษาต่อไป
และกำหนดอายุของเด็กต่ำกว่า 8 ปีลงมา หรือในระหว่างอายุ 3-7 ปี
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
การศึกษาปฐมวัย หรือการศึกษาวัยก่อนเกณฑ์บังคับเรียนในสมัยนั้นยังไม่ได้กำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมความพร้อมแก่เด็ก
หากแต่มุ่งเตรียมให้เด็กอ่านออกเขียนได้เป็นสำคัญ
2.
การจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกและการขยายโรงเรียนอนุบาลรัฐ
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การศึกษาปฐมวัยได้รับความสนใจมากขึ้น
นักการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาระดับนี้ตระหนักถึงความสำคัญของวัยเด็ก
จึงจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยนี้กว้างขวางขึ้นมีการเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลของรัฐ
และขยายโรงเรียนไปยังส่วนภูมิภาค สรุปได้ดังนี้ (อารี รังสินันท์, 2539)
2.1 การเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกและการขยายโรงเรียนอนุบาลของรัฐ
ดังที่กระทรวงธรรมการและผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัยจึงได้เริ่มเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลศึกษาขึ้น
ได้ตั้งคณะกรรมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลของกระทรวงขึ้นในปี พ.ศ. 2480 ประกอบด้วย
1) นายนาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา
2) ม.ล.มานิจ ชุมสาย
3) นางจำนง เมืองแมน
(นางพิณพาทพิทยเพท)
ในระหว่างปี
2480-2482
กระทรวงธรรมการได้จัดส่งครูหลายท่านไปศึกษาและดูงานการศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปุ่น
อาทิ นางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา ไปศึกษาและดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นเวลา 6 เดือน และได้กลับมาจัดเตรียมการดำเนินงานโรงเรียนอนุบาล
และได้ส่งนางสาวสมถวิล สวยสำอาง
(นางสมถวิล สังขะทรัพย์) ไปศึกษาด้านการศึกษาปฐมวัย ณ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ.
2482 กระทรวงธรรมการได้คัดเลือกครู 3 คน คือนางสาวสวัสวดี วรรณโกวิท นางสาวเอื้อนทิพย์ วินิจฉัยกุล (นางเอื้อนทิพย์
เปรมโยธิน) และนางสาวเบญจา ตุงคะสิริ (คุณหญิงเบญจา แสงมะลิ) ไปศึกษาการอนุ ณ
ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งท่านเหลานี้ก็ได้กลับมาเป็นผู้นำทางการศึกษาปฐมวัยของไทยในเวลาต่อมา
ตัวอาคารโรงเรียนละอออุทิศ |
2.2 การเปิดโรงเรียนอนุบาล
เมื่อกระทรวงธรรมการได้มีการเตรียมการพ้อมทั้งในด้านบุคลากรและอื่นๆ
จึงได้เปิดโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของรัฐขึ้นในจังหวัดพระนครชื่อว่าโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ
ได้รับเงินบริจาคในกองมรดกของ น.ส.ละออ ลิ่มเซ่งไถ่ สำหรับสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศได้เปิดทำการสอนเมื่อวันที่
2 กันยายน พ.ศ. 2483 ในสังกัดกรมการฝึกหัดครูซึ่งมี ม.ล.มานิจ ชุมสาย
เป็นหัวหน้ากองฝึกหัดครูในขณะนั้น และมีนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา เป็นครูใหญ่
โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศที่จัดทั้งขึ้นในระยะแรกนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทดลองการจัดการการอนุบาลศึกษาและเพื่อทดลองความสนใจความเข้าใจประชาชนในเรื่องการศึกษาปฐมวัย
รับนักเรียนชายหญิงที่มีอายุระหว่าง 3 ปีครึ่งไปจนถึง 6 ปี
หรือจนเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา
2.3 ความมุ่งหมายและวิธีการอบรม
2.3.1 เพื่อเตรียมสภาพจิตใจของเด็กให้พร้อมที่จะรับการศึกษาในชั้นต่อไป
หัดให้ใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเรียน การเล่น และการประดิษฐ์ อบรมให้เป็นคนช่างคิดช่างทำ
ขยันไม่อยู่นิ่งเฉย และเป็นคนว่องไวกระฉับกระเฉง
2.3.2 เพื่ออบรมเด็กให้เป็นคนมีความสังเกต มีไหวพริบ
เฉลียวฉลาด คิดหาเหตุผลให้เกิดความเข้าใจด้วยตนเอง มีความพากเพียร พยายาม
อดทนไม่จับจด
2.3.3 เพื่ออบรมให้เป็นคนพึ่งตนเอง
สามารถทำ หรือปฏิบัติอะไรได้ด้วยตนเอง
เด็กในโรงเรียนอนุบาลนี้จะต้องอบรมให้ช่วยตัวเองให้มากที่สุด
โดยไม่มีพี่เลี้ยงคอยตักเตือน หรือคอยรับทำให้ ครูเป็นแต่ผู้คอยดูแลห่างๆ เท่านั้น
2.3.4 เพื่อหัดมารยาทและศีลธรรมทั้งในส่วนตัวและการปฏิบัติต่อสังคมและหัดมารยาทในการนั่ง
นอน เดิน และรับประทาน ฯลฯ หัดให้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย
ฝึกนิสัยให้เป็นคนมีศีลธรรมอันดี มีจิตใจเข้มแข็ง มีระเบียบ รักษาวินัย
มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน
2.3.5 เพื่อปลูกฝังนิสัยทางสุขภาพอนามัย
รู้จักระวังสุขภาพของตน เล่นและรับประทานอาหารเป็นเวลา รู้จักรักษาร่างกายให้สะอาด
และแข็งแรงอยู่เสมอ
2.3.6 เพื่ออบรมให้เด็กเป็นคนร่าเริง
มีการสอนร้องเพลง และการเล่นที่สนุกสนานทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นนักสู้ซึ่งเต็มไปด้วย
ความรื่นเริงเบิกบานและคิดก้าวหน้าเสมอ
นับได้ว่าการศึกษาปฐมวัยระยะนี้มุ่งเตรียมเด็กให้พร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทั้งร่างกาย
อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
การจัดกิจกรรมต่างๆส่งเสริมเด็กให้เป็นผู้เรียนที่คล่องแคล่วว่องไว
เลือกและลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างอิสระ มีครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะและคอยดูแลช่วยเหลือ
จัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่เออำนวยให้เด็กได้พัฒนาอย่างราบรื่นเป็นขั้นตอนและพัฒนาอย่างเต็มที่ถึงขีดสูงสุด
2.4 การจัดการเรียนการสอน
โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศได้จัดการเรียนการสอนตามแนวคิดของ
เฟรอเบลบิดาแห่งการจัดการศึกษาปฐมวัยและใช้การสอนแบบ
Play Way Method หรือเรียนปนเล่น นำเกมการร้องรำ
การละเล่น ดนตรี
เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการเรียนของเด็กและการส่งเสริมให้เด็กลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
สำหรับการสอนอนุบาลกำหนดไว้
2 ปี คือชั้นอนุบาลปีที่ 1 และชั้นอนุบาลปีที่ 2 เด็กที่เพิ่งเข้าเรียนและยังเล็กพยายามจัดเล่น
การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
จนเด็กค่อยคุ้นเคยจึงเพิ่มความรู้ให้มากขึ้นเพื่อเตรียมตัวเด็กเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาต่อไป
การสอนทุกวิชาครูหัดให้เด็กสังเกต คิด สนทนา เล่านิทาน
และใช้วิธีสอนที่ยั่วยุให้เด็กอยากเรียนรู้ และการเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน
2.5 อัตราเวลาเรียน
ในการเรียนชั้นอนุบาล ระยะเวลาเรียนสั้นแต่ส่งเสริมให้เด็กได้พักผ่อนให้มาก
และประกอบกับความสนใจของเด็กสั้นจึงไม่ควรให้เด็กเรียนหรือทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดนานเกินไป
แต่ควรเปลี่ยนวิชาและกิจกรรมหรือการเล่นอยู่เสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น